ทางเดียวที่จะแก้ปัญหา “วัวพันหลัก” นี้ได้ คือการหาแนวทาง “ลดภาวะโลกร้อน” ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน
ลดโลกร้อนทำอย่างไร นั่นคือโจทย์ที่ท้าทายประชากรบนโลกใบนี้ ที่ต้องร่วมกันถอดสมการ
ไปฟัง เจ้ากระทรวงพลังงาน ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ พูดถึงเรื่องนี้ในงานเปิดตัวโครงการ 1 องศา รวมพลังลดวิกฤติโลกร้อน โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เป็นแกนหลัก โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรองค์กรธุรกิจ อย่าง บมจ.ปตท., บมจ.สหพัฒนพิบูล, บริษัท ฮาเวลส์ ซีลวาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ) บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) รวมทั้งการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กูรูด้านพลังงานท่านนี้เห็นว่า สมการดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ความจริงจังในการแก้โจทย์ ด้วยการลดการใช้พลังงานอย่างรวดเร็ว พร้อมไปกับการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงไปตรงมา และค่อนข้างเห็นผลเร็ว
อาทิเช่น การปรับโหมดการขนส่งด้วยรถยนต์ รถบรรทุก มาเป็น “ระบบราง” ให้มากขึ้น
ตามมาด้วยการส่งเสริม “สารพัด” พลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน (พลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก) อาทิเช่น วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ขยะ ลม แสงอาทิตย์ รวมถึงพลังงานนิวเคลียร์ ที่หลายคนแสดงความกังวลถึงความปลอดภัย
“หากเราไม่ทำทั้งหมดนี้ เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำมันแพง และปัญหาโลกร้อนได้” เจ้ากระทรวงพลังงาน เฉลยวิธีแก้สมการโลกร้อน
นอกจากนี้ ตัวช่วยสำคัญในการลดภาวะโลกร้อน ยังอยู่ที่การ “ค้นคว้า-วิจัย” เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอน ที่ออกมาจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง หากไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงได้ โลกก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ
เขายังบอกว่า มาตรการลดภาวะโลกร้อน ที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่กระทรวงพลังงาน ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่ดูแลนโยบายพลังงานของประเทศ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพนั้น อีกไม่นานเกินรอจะมี "กฎกระทรวง" ที่ระบุให้ “อาคารใหม่” ต้องมีมาตรฐานการก่อสร้าง และการใช้พลังงานที่เข้มงวดมากขึ้น
เจ้าของอาคารที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ต้องพึงติดตามข่าวสารเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง อย่าง หลอดตะเกียบ ซึ่งได้เริ่มโครงการไปแล้ว เขาเชื่อว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 300 เมกะวัตต์ โดยการใช้ “การตลาด” นำ
“กระทรวงพลังงานจะเจรจากับผู้ผลิตหลอดตะเกียบ ให้ขยายตลาด เพื่อดึงราคาลงมา ให้มีการผลิตหลอดตะเกียบในประเทศเพื่อลดการนำเข้า ตอนนี้ราคาหลอดตะเกียบลดลงจากกว่า 100 บาท เหลือ 69 บาทต่อหลอด ต้นปี 2551 เป็นต้นไปราคาน่าจะลดลงมาเหลือ 55 บาทต่อหลอด” เขาตั้งความหวัง
ขณะที่กลางเดือนธันวาคมนี้ กระทรวงพลังงานจะเริ่มแคมเปญส่งเสริมการใช้หลอดผอมมาก (T5) แทนหลอดผอม (T8) ด้วยการขยายตลาด และส่งเสริมการผลิต โดยขณะนี้มีการผลิตหลอดผอม T5 อยู่แล้ว แต่เป็นการผลิตเพื่อส่งออก”
ภายใน 3 ปี หลอดไส้แทบจะไม่เหลือแล้ว ขณะที่หลอดนีออน จะถูกทดแทนด้วยหลอดผอม T5 แทบทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ 2,000 เมกะวัตต์
ความเห็นของรัฐมนตรีพลังงานท่านนี้ ยังมองว่า มาตรการที่สำคัญที่สุดในการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ตัวการของภาวะโลกร้อน คือ การกำหนด “นโยบายราคา” โดยรัฐบาลต้อง “ใจแข็ง” ไม่แทรกแซงราคาน้ำมัน ด้วยการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปอุดหนุนราคาน้ำมัน
ไม่เช่นนั้น คนก็จะยังคง "เสพติด" หรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำมัน ประเทศไทยก็จะยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหา “ราคาน้ำมันแพง” อย่างไม่จบสิ้น ตราบที่เรายังใช้น้ำมันอยู่ในปริมาณสูงอยู่เช่นนี้
การเลือกใช้มาตรการอุดหนุนราคาน้ำมัน จึงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ไม่ยั่งยืน
รัฐมนตรีพลังงาน ยืนยันว่าที่ผ่านมามาตรการราคา มีผลในการลดการใช้พลังงาน เขายกตัวอย่าง ในปี 2547 มีการนำเข้าน้ำมันสุทธิเพิ่มขึ้น 16%
ในปี 2548 เมื่อปล่อยให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาด พบว่ามีการนำเข้าน้ำมันสุทธิลดลง 6% ในปี 2549 มีการนำเข้าน้ำมันสุทธิลดลง 5%
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มีการนำเข้าน้ำมันสุทธิลดลง 5%
แม้ว่าระดับการใช้น้ำมันเมื่อเทียบกับการใช้พลังงานในเชิงพาณิชย์ จะมีสัดส่วน 41% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อัตรา 35% ก็ตาม
เขายังตั้งความหวังว่า ด้วยมาตรการต่างๆ ของกระทรวงพลังงาน หากได้รับความร่วมมือจากส่วนรวม น่าจะทำให้การใช้น้ำมันลดลงมาอยู่ที่ระดับ 30-35% ของการใช้พลังงานในเชิงพาณิชย์
เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน
ขณะที่การ “กันเงิน” จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมากถึง 7 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาใช้ลงทุนระบบขนส่งมวลชน และระบบราง แทนที่จะนำไปลดราคาน้ำมันลงลิตรละ 50 สตางค์นั้น เจ้ากระทรวงพลังงาน เห็นว่า การทำเช่นนี้เป็นความใจแข็งของรัฐที่ต้องการลดการใช้พลังงานในระยะยาว
…ซึ่งหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะสานต่อนโยบายนี้
ในแง่ของการส่งเสริมพลังงานทดแทน รัฐมนตรีพลังงาน เห็นว่า ปัจจุบันวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นฟางข้าว หรือชานอ้อย แทบจะทั้งหมดถูกนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า
ตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ มีผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (เอสพีพี) และขนาดเล็กมาก (วีเอสพีพี) เข้าร่วมโครงการเกือบร้อยโครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าเกือบ 700 เมกะวัตต์
“ภายใน 3-4 ปีจากนี้ น้ำเสียจากโรงงานน้ำมันปาล์ม โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และขยะจะถูกนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานเกือบทั้งหมด เหลือพลังงานลม ที่รัฐเพิ่งเพิ่มส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าให้ ต่อไปจะเห็นพลังงานลมและแสงอาทิตย์”
นอกจากนี้ ในส่วนของพลังงานนิวเคลียร์ ยังเป็นพลังงานที่ต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่ “วันนี้” ในการเตรียมความพร้อมสร้างคน บุคลากร ทำความเข้าใจกับประชาชน มองหาสถานที่ตั้ง มองถึงองค์กรกำกับ มีกฎหมายรองรับ โดยรัฐมนตรีพลังงานมองว่า ภารกิจเหล่านี้จะต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าจะเห็นภาพว่าควรจะเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่
“เริ่มต้นศึกษาวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะเกิดขึ้นทันที 3 ปีจากนี้เป็นเรื่องของการศึกษา เสนอกฎหมายเข้าสภา อีก 6 ปี นับจากวันนี้จะสามารถลงนามสัญญาก่อสร้างได้ และในอีก 12-13 ปีจากนี้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงจะแล้วเสร็จ”
หากพบว่าอีก 3 ปีจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีด้านพลังงานอื่นที่ดีกว่าพลังงานนิวเคลียร์ ก็ไม่จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ได้ เขาระบุ
“โลกร้อนเป็นปัญหาของทุกประเทศ ในการแก้ปัญหาต้องมาจากหลายมาตรการควบคู่กันไป การเลือกใช้บางมาตรการจะนำไปสู่ความหายนะ ควรต้องเปิดใจกว้าง ยอมรับทุกมาตรการแม้ว่าบางคนจะไม่ชอบบางมาตรการก็ตาม เพราะอนาคตพลังงานเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน” เขาทิ้งท้าย
ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เห็นสอดคล้องว่า ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาของทุกคน ทุกประเทศ ที่จำเป็นต้องแก้ปัญหาให้ครบทุกเรื่อง อาจจะต้องมองเลยไปถึงการคุมกำเนิดเพื่อลดจำนวนประชากรโลกลง เพื่อลดการใช้พลังงาน และลดมลพิษ
ปตท.ในฐานะองค์กรด้านพลังงาน ค้าขายน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ได้มีส่วนร่วมลดภาวะโลกร้อนมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น การใช้ก๊าซในภาคขนส่งและผลิตไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้พลังงานจากพืชและปลูกป่า สร้างคนที่สนใจด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างชุมชนพอเพียง เป็นต้น
บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บมจ. สหพัฒนพิบูล เห็นว่า การลดภาวะโลกร้อน ไม่เพียงเป็นวาระแห่งชาติ แต่ได้กลายเป็นวาระแห่งโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อลูกหลานในอนาคต โดยที่ผ่านมาสหพัฒน์ใช้พลังงานในปริมาณมากในการจัดส่งสินค้าไปทั่วประเทศ
เริ่มมีโครงการประหยัดพลังงานด้วยการไม่ตีรถเปล่า เมื่อส่งสินค้าแล้วจะต้องขนสินค้ากลับมาด้วย เพื่อสามารถลดต้นทุนพลังงานได้ ต้นทุนการผลิตก็ไม่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถเบรกการขึ้นราคาสินค้าได้
เขายังเสนอว่า ควรจะมีการระบุให้ชัดเจนว่ากิจกรรมอะไรบ้าง ที่มีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนัก
ปูมเทพ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ฮาเวลส์ ซีลวาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด เห็นว่า ปัญหาโลกร้อน บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในและนอกประเทศ ก็เกิดขึ้น ทำให้คนเริ่มให้ความสำคัญกับการลดปัญหาโลกร้อน นอกจากกิจกรรมหลักของบริษัทในการจำหน่ายหลอดประหยัดพลังงานแล้ว ยังได้บริจาคหลอดตะเกียบไปยังหน่วยงานต่างๆ และปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้กับโรงเรียนและวัด
พร้อมเห็นว่าไม่เพียงเรื่องพลังงานเท่านั้น การลดภาวะโลกร้อนยังทำได้หลายวิธี เช่น ไม่ควรรับประทานอาหารเหลือ เพราะอาหารเหล่านั้นเมื่อบูดเน่าจะทำให้เกิดก๊าซมีเทน เป็นต้น
ขอขอบคุญ.......www.bangkokbizweek.com


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น